Featured Articlesเรื่องควรรู้ เมื่ออยู่เมลเบิร์น
ความเสมอภาคทางเพศ

ความเสมอภาคทางเพศ
บทบาทและความเป็นหญิงเป็นชายในแต่ละสังคมจะถูกหล่อหลอมออกมาตามลักษณะทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคม วัฒนธรรม ครอบครัว และยังเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กับอายุ ชนชั้น เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ศาสนา ความเชื่อ ค่านิยม สภาพภูมิศาสตร์ของสังคมนั้นๆ อีกด้วย
บทบาทและความเป็นหญิงเป็นชายทางสังคมจึงไม่หยุดนิ่ง และเปลี่ยนแปลงได้ตามยุคสมัยกาลเวลา ทำให้ในบางสังคมแนวความคิดเกี่ยวกับความเป็นหญิงเป็นชายเปลี่ยนแปลงได้ยากหรือเปลี่ยนแปลงได้น้อยทำให้ไม่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจสังคมวัฒนธรรมที่เปลี่ยนแปลงไป หรือแม้แต่ในสังคมที่เปลี่ยนแปลงได้ง่าย บทบาทและความคาดหวังบางอย่างก็ยังฝังแน่นและไม่เปลี่ยนแปลง หรือไม่ก็นำไปผูกโยงยึดติดกับบทบาทเพศทางร่างกาย จนหลงลืมกันไปว่าบทบาทความเป็นหญิงชายเหล่านี้ถูกกำหนดโดยสังคม เช่น ผู้หญิงต้องตั้งครรภ์และมีเต้านมสามารถให้ลูกดูดกินตามบทบาทเพศ ทำให้สังคมคาดหวังและกำหนดให้ผู้หญิงมีหน้าที่เลี้ยงลูก ทั้งที่ปัจจุบันเด็กดูดนมสำเร็จจากขวดเป็นส่วนใหญ่ แต่สังคมก็ยังคาดหวังให้แม่เป็นผู้ให้นมขวดแก่ลูกทั้งที่เป็นบทบาทที่หญิงชายทำได้เหมือนๆกัน
ผู้หญิงโดยทั่วไปของออสเตรเลียจะต้องทำงานเพิ่มอีก 66 วันต่อปีถึงจะมีรายได้เช่นเดียวกับผู้ชาย
ความเสมอภาคทางเพศในประเทศออสเตรเลีย
ในทศวรรษที่ผ่านมาผู้หญิงในประเทศออสเตรเลียได้มีความก้าวหน้าอย่างมากในการบรรลุความเท่าเทียมกันกับผู้ชาย ผู้หญิงได้เข้ามารับบทบาทความเป็นผู้นำมากขึ้นทั้งที่มหาวิทยาลัย ในสถานที่ทำงาน ในห้องประชุม และในรัฐบาล ทำให้เป็นตัวอย่างสำหรับผู้หญิงและเด็กผู้หญิงอื่น ๆ ที่จะได้ปฏิบัติตาม
ในปี คศ 1984 พระราชบัญญัติการกีดกันทางเพศมีผลบังคับใช้ ทำให้เป็นเรื่องผิดกฏหมายหากเลือกปฏิบัติกับคนบางคนบนพื้นฐานของเพศ, สถานภาพสมรส, ความรับผิดชอบต่อครอบครัว หรือเพราะพวกเขากำลังตั้งครรภ์ อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ ได้มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงทัศนคติของชุมชน และช่วยให้ความเสมอภาคทางเพศในประเทศนี้คืบหน้าไปมาก แม้จะมีความคืบหน้านี้ ผู้หญิงและเด็กผู้หญิงยังคงได้รับความไม่เท่าเทียมกันและได้รับการเลือกปฏิบัติ ในด้านต่างๆซึ่งสำคัญมากต่อชีวิตของพวกเขา จึงเป็นตัวจำกัดทางเลือกและโอกาสที่มีมาให้
สถิติด้านความเสมอภาคทางเพศในประเทศออสเตรเลีย
- ประชากรออสเตรเลียมีผู้หญิงและเด็กผู้หญิงเพียงครึ่งหนึ่ง (ร้อยละ 50.2) เท่านั้น
- ในขณะที่ลูกจ้างจะประกอบด้วยผู้หญิงประมาณร้อยละ 46 พวกเขาจะมีรายได้โดยเฉลี่ย น้อยกว่าผู้ชาย ในแต่ละสัปดาห์เป็นจำนวนเงิน $ 283.20 (เปรียบเทียบจากการทำงานของผู้ใหญ่เต็มเวลาในเวลาปกติ ) ช่องว่างของการจ่ายเงินระหว่างชายหญิงในประเทศ ถือเป็นร้อยละ 18.2 และมันก็ยังคงอยู่ที่ระหว่างร้อยละ 15 ถึง ร้อยละ 18 ตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา

- ผู้หญิงโดยทั่วไปของออสเตรเลียจะต้องทำงานเพิ่มอีก 66 วันต่อปีถึงจะมีรายได้เช่นเดียวกับผู้ชายโดยทั่วไป
- ผู้หญิงออสเตรเลียนับได้ 92 เปอร์เซ็นต์เป็นผู้ดูแลหลักต่อเด็กที่มีความพิการ, 70 เปอร์เซนต์เป็นผู้ดูแลหลักสำหรับพ่อแม่ และ 52 เปอร์เซ็นต์เป็นผู้ดูแลหลักสำหรับคู่ครอง
- ในปี 2013 ประเทศออสเตรเลียเป็นอันดับที่ 24 ในโลกจากการดัชนีวัดความเท่าเทียมทางเพศ, ตกลงจากอันดับที่ 15 ในปี 2006
อุปสรรคต่อความเท่าเทียมกันทางเพศ
- ผู้หญิงออสเตรเลียจำนวนมากจะทำงาน Part-time ในอุตสาหกรรมที่ได้เงินเดือนน้อยและไม่มั่นคง และยังคงได้รับบทบาทในความเป็นผู้นำน้อยทั้งในภาครัฐและเอกชน
- หนึ่งในสี่ของผู้หญิง ถูกคุกคามทางเพศในที่ทำงานระหว่างปี 2007 และ 2012 ผู้กระทำโดยส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะเป็นเพื่อนร่วมงาน (ร้อยละ 52) และรูปแบบที่พบมากที่สุดของการล่วงละเมิดทางเพศได้แก่การแสดงความคิดเห็นชี้นำทางเพศ / พูดแหย่ (ร้อยละ 55) ถามคำถามล่วงล้ำเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวหรือเรื่องรูปลักษณ์ (ร้อยละ 50) และ จ้องมองอย่างไม่เหมาะสม (ร้อยละ 31)
- ในปี 2014 หนึ่งในสอง (49 เปอร์เซ็นต์) ของผู้หญิงตั้งครรภ์รายงานว่าได้รับการเลือกปฏิบัติในที่ทำงาน ในระหว่างตั้งครรภ์, ลาเพื่อเลี้ยงดูบุตร, หรือเมื่อกลับไปทำงาน และหนึ่งในห้า (18 เปอร์เซ็นต์) ชี้ว่าพวกเขาถูกไล่ออก, หรือไม่ได้ถูกต่ออายุสัญญาว่าจ้างให้เนื่องจากการตั้งครรภ์, หรือเมื่อพวกเขายื่นคำร้องขอลาหรือหยุดเพื่อเลี้ยงดูบุตร, หรือเมื่อพวกเขากลับไปทำงาน
- ผู้หญิงที่เป็นแม่จะใช้เวลาในแต่ละสัปดาห์เลี้ยงดูบุตรอายุต่ำกว่า 15 ปี เป็นเวลาสองเท่า (8 ชั่วโมงและ 33 นาที) เมื่อเทียบกับผู้เป็นพ่อ (3 ชั่วโมงและ 55 นาที)
- ในปี ค.ศ. 2009-2010, เงินบำนาญเฉลี่ยสำหรับผู้หญิงจะได้รับเพียงแค่เกินกว่าครึ่งหนึ่ง (57%) ของเงินที่ผู้ชายได้รับ การจ่ายเงินเกษียณอายุเฉลี่ยในปี ค.ศ. 2009-10 เป็นของผู้ชาย $ 198,000 และเพียง $ 112,600 สำหรับผู้หญิง เป็นผลให้ผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะพบกับความยากจนในปีที่เกษียณอายุของพวกเขา และจะไม่สามารถพึ่งพาเงินบำเหน็จบำนาญได้
- หนึ่งในสามของผู้หญิงออสเตรเลียอายุ 15 ปีขึ้นไปจะประสบกับการถูกกระทำหรือความรุนแรงทางร่างกาย และเกือบหนึ่งในห้าประสบกับการถูกข่มขืน เป็นที่คาดว่าการใช้ความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็กจะทำให้ออสเตรเลียต้องเสียค่าใช้จ่าย $ 15.6 พันล้านต่อปีไปจนถึงปี ค.ศ. 2021-2022 ยกเว้นจะมีการดำเนินการอย่างเด็ดขาดเพื่อเป็นการป้องกัน
- ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวเป็นปัญหาที่สามารถป้องกันการตาย ความพิการ และการเจ็บป่วยในผู้หญิงอายุ 15 ถึง 44 ปี ได้มากกว่าการป้องกันจากการสูบบุหรี่หรือโรคอ้วน
พัฒนาการในเชิงบวก
- จำนวนของผู้หญิงในบอร์ดบริษัท ASX 200 ได้เพิ่มมากขึ้นจากร้อยละ 8.3 ในปี ค.ศ. 2010 เป็นร้อยละ 18.6 ในเดือนสิงหาคม ปี ค.ศ. 2014
- ผู้ชายและผู้หญิงออสเตรเลียเชื่อขาดลอย (ร้อยละ 90) ว่าผู้ชายควรจะมีส่วนร่วมในการอบรมเลี้ยงดูลูกเหมือนผู้หญิง
- ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2013 ลูกจ้างชาวออสเตรเลียกว่าหนึ่งล้านคนสามารถลางาน และอุ่นใจกับความคุ้มครองต่างๆ ที่มีในเงื่อนไขของการว่าจ้างงาน
อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (Convention on the Elimination of All Forms of Discrimination against Women – CEDAW)
สาระสำคัญ
วัตถุประสงค์หลักของอนุสัญญาฉบับนี้ คือการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีทุกรูปแบบ รวมทั้งการประกันว่าสตรีและบุรุษมีสิทธิที่จะได้รับการปฏิบัติและดูแลจากรัฐอย่างเสมอภาคกัน ได้แก่
1. กล่าวถึงคำจำกัดความของคำว่าการเลือกปฏิบัติต่อสตรี(discriminationa gainst women) พันธกรณีของรัฐภาคี มาตรการที่รัฐภาคีต้องดำเนินการเพื่อสนับสนุนความก้าวหน้าของสตรี มาตรการเร่งด่วนชั่วคราวเพื่อสร้างความเท่าเทียมกันระหว่างบุรุษและสตรีอย่างแท้จริงซึ่งจะไม่ถือว่าเป็นการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งความแตกต่างทางเพศการปรับรูปแบบทางสังคมและวัฒนธรรมเพื่อให้เอื้อต่อการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีและการปราบปรามการลักลอบค้า และแสวงหาประโยชน์ทางเพศจากสตรี
2. กล่าวถึงความเท่าเทียมกันระหว่างบุรุษและสตรีในด้านการเมืองและการดำรงชีวิต (public life) ทั้งในระดับประเทศและระหว่างประเทศ เช่น สิทธิในการเลือกตั้ง การสนับสนุนให้ดำรงตำแหน่งที่สำคัญ ความเท่าเทียมกันในกฎหมายว่าด้วยสัญชาติ และการศึกษา
3. กล่าวถึงการที่สตรีจะได้รับการดูแลทางเศรษฐกิจโดยได้รับความเท่าเทียมกันในด้านสิทธิและโอกาสที่จะได้รับการจ้างงานและสิทธิด้านแรงงาน รวมถึงการป้องกันความรุนแรงต่อสตรีในสถานที่ทำงานความเท่าเทียมกันในการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพโดยเฉพาะสตรีมีครรภ์และหลังคลอดบุตร การที่รัฐภาคีจะประกันความเป็นอิสระของสตรีด้านการเงินและความมั่นคงด้านสังคมและการให้ความสำคัญแก่สตรีในชนบท ทั้งในด้านแรงงานและความเป็นอยู่
4. กล่าวถึงความเท่าเทียมกันของบุรุษและสตรีในด้านกฎหมายโดยเฉพาะในด้านกฎหมายแพ่งและกฎหมายครอบครัว ซึ่งเป็นการประกันความเท่าเทียมกันในชีวิตส่วนบุคคล
5. กล่าวถึงการจัดตั้งคณะกรรมการการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบพันธกรณีในการจัดทำรายงานของรัฐภาคี การปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการ และการมีส่วนร่วมของทบวงชำนัญพิเศษที่เกี่ยวข้อง
6. กล่าวถึงการมิให้ตีความข้อบทของอนุสัญญาที่จะขัดต่อกฎหมายภายในที่ดำเนินการมากกว่าที่กำหนดไว้ในอนุสัญญาและกฎหมายระหว่างประเทศที่มีอยู่ การนำพันธกรณีไปปฏิบัติในระดับประเทศการเปิดให้ลงนามและกระบวนการเข้าเป็นภาคีของอนุสัญญาการแก้ไขอนุสัญญา เงื่อนไขการมีผลบังคับใช้ของอนุสัญญา การตั้งข้อสงวน การขัดแย้งในการตีความระหว่างรัฐภาคี
ตัวอย่างคำร้องเรียนภายใต้พระราชบัญญัติการเลือกปฏิบัติทางเพศ
การเลือกปฏิบัติทางเพศ (sex discrimination) เช่น
- พนักงานชายได้รับเงินมากกว่าพนักงานหญิงที่ทำงานหน้าที่เดียวกัน
- นโยบายบริษัทบอกว่าผู้บริหารจะต้องทำงานเต็มเวลา (full-time) เช่นนี้อาจทำให้ผู้หญิงเสียเปรียบ เพราะผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะต้องทำงานแบบ part-time เนื่องจากมีหน้าที่รับผิดชอบในการเลี้ยงดูลูก
- พนักงานขายในร้านค้าปฏิเสธที่จะบริการลูกค้าที่มีลักษณะดูเป็นผู้หญิง แต่มีเสียงทุ้มลึกแบบผู้ชายเพราะเธอรู้สึกอึดอัดเกี่ยวกับอัตลักษณ์ทางเพศของบุคคลนั้น
- ฝ่ายบุคคลมีนโยบายไม่อนุญาตให้มีการเปลี่ยนแปลงระเบียนของพนักงาน นโยบายดังกล่าวนี้อาจทำให้ บุคคลที่แปลงเพศแล้ว ต้องเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวเกี่ยวกับเพศเดิมของตนเองต่อไป และเป็นเหตุให้ต้องอธิบายถึงความแตกต่างตรงนี้ในรายละเอียดส่วนบุคคล
- นายจ้างไม่เลื่อนตำแหน่งให้กับพนักงานเพราะทราบว่าเขาเป็นกะเทย
- นโยบายของบริษัท ที่เสนอสวัสดิการให้กับสามีหรือภรรยาของพนักงาน เช่นส่วนลดการเดินทางหรือการเป็นสมาชิกห้องฟิตเนส อาจทำให้พนักงานที่มีคู่ครองเพศเดียวกันเสียเปรียบเนื่องมาจากรสนิยมทางเพศและ/ หรือสถานภาพสมรสของพวกเขา
การเลือกปฏิบัติบนพื้นฐานของสถานภาพสมรสหรือสถานะความสัมพันธ์ (discrimination on the ground of marital or relationship status) เช่น
- บริษัทแห่งหนึ่งไม่จ้างผู้หญิงที่แต่งงานแล้วทำงาน เพราะคิดเอาว่าเธอจะต้องการที่จะเริ่มต้นชีวิตครอบครัวและมีลูก
- บริษัทแห่งหนึ่ง ในการทำงานในสถานที่ห่างไกล จะมีเบี้ยเลี้ยงและให้การลางานเพื่อเยี่ยมครอบครัวแต่เพียงกับพนักงานที่แต่งงานแล้ว ตรงนี้อาจทำให้พนักงานที่ยังโสดและ พนักงานที่อยู่ในความสัมพันธ์แบบ de facto ต้องเสียเปรียบ
การเลือกปฏิบัติการตั้งครรภ์ (pregnancy discrimination) เช่น
- นายจ้างปฏิเสธที่จะจ้างผู้หญิงคนหนึ่งเพราะเธอกำลังตั้งครรภ์หรือเพราะเธออาจจะตั้งครรภ์
- นโยบายกำหนดให้พนักงานทุกคนต้องสวมเครื่องแบบแต่มันเป็นเรื่องยากสำหรับพนักงานตั้งครรภ์ที่จะสวมใส่เครื่องแบบที่ว่านั้น
การเลือกปฏิบัติบนพื้นฐานของการให้นมลูก เช่น
- ร้านกาแฟปฏิเสธที่จะให้บริการผู้หญิงเพราะเธอให้นมลูก
- นายจ้างไม่อนุญาตให้พนักงานหยุดที่ช่วงสั้น ๆ ในช่วงเวลาระหว่างวัน ตรงนี้อาจทำให้ผู้หญิงที่กำลังเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เสียเปรียบเพราะพวกเธออาจจะต้องใช้เวลาพักเพื่อปั๊มน้ำนม

การเลือกปฏิบัติในความรับผิดชอบต่อครอบครัว (family responsibilities discrimination) เช่น
- นายจ้างจะปฏิเสธที่จะจ้าง ลดขั้นหรือลดชั่วโมงการทำงานของพนักงาน เพราะพนักงานคนนั้นมีความจำเป็นที่จะต้องดูแลสมาชิกในครอบครัว
การล่วงละเมิดทางเพศ
การล่วงละเมิดทางเพศเป็นพฤติกรรมทางเพศใดๆที่ไม่พึงปรารถนา เป็นการรุกราน ทำให้ละอาย หรือข่มขู่ ตัวอย่างเช่น:
- การสัมผัสทางกายที่ไม่พึงปรารถนา
- จ้องมองหรือ leering
- ความคิดเห็นชี้นำหรือทำเป็นเรื่องตลก
- ชวนออกเดทโดยที่เราไม่ชอบ
- การร้องขอต้องการมีเซ็กซ์ด้วย
- ส่งอีเมล์ภาพลามกอนาจารหรือหยาบคายตลก
- ส่งข้อความทางเพศที่โจ่งแจ้ง
- ถามคำถามล่วงล้ำเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวหรือร่างกายของคุณ
- แสดงโปสเตอร์, นิตยสารหรือสกรีนเซฟเวอร์ ที่เกี่ยวกับเรื่องทางเพศ
ทุกคนมีสิทธิที่จะมีความปลอดภัยและเป็นอิสระจากการล่วงละเมิดทางเพศในขณะที่ทำงาน พระราชบัญญัติการเลือกปฏิบัติทางเพศยังคุ้มครองคุณถ้าคุณถูกคุกคามทางเพศเมื่อคุณกำลังให้หรือรับสินค้าและบริการ หรือเมื่อคุณกำลังศึกษาอยู่ที่โรงเรียน วิทยาลัย หรือมหาวิทยาลัย
หากถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนจะทําอย่างไร?
ผู้ถูกละเมิด หรือผู้แทน หรือผู้พบเห็นการละเมิด สามารถร้องเรียนไปยัง สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนออสเตรเลีย (Australian Human Rights Commission) ซึ่งหน่วยงานนี้จะทำหน้าที่
- แก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนของการเลือกปฏิบัติหรือการละเมิดสิทธิมนุษยชนภายใต้กฎหมายของรัฐบาลกลาง
- ถือเอาคำสอบถามจากประชาชนในประเด็นสิทธิมนุษยชนเป็นความสำคัญระดับชาติ
- พัฒนาโปรแกรมการศึกษาและทรัพยากรในเรื่องสิทธิมนุษยชนสำหรับโรงเรียน สถานที่ทำงาน และชุมชน
- ให้คำแนะนำที่เป็นอิสระทางกฎหมายเพื่อช่วยเหลือศาลในกรณีที่เกี่ยวข้องกับหลักการสิทธิมนุษยชน
- ให้คำแนะนำและส่งไปยังรัฐสภาและรัฐบาลในการพัฒนากฎหมาย นโยบาย และโปรแกรม
- ดำเนินการและประสานงานการวิจัยในด้านสิทธิมนุษยชนและปัญหาการเลือกปฏิบัติ
วิธีการร้องเรียน
· ทางจดหมาย
· ทางโทรศัพท์
· ด้วยตนเอง ณ สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนออสเตรเลีย
· ทางโทรสาร
· ส่งข้อความสื่ออิเล็คโทรนิกส์ เช่น อีเมล์ หรือ สื่ออื่นๆ
การร้องเรียนสามารถทำได้ในทุกภาษา หากคุณต้องการคนแปลหรือล่าม คณะกรรมการสามารถจัดหาให้คุณได้
ติดต่อ Australian Human Rights Commission ได้ที่
Telephone
Info Line: 1300 656 419 (local call)
TTY: 1800 620 241 (toll free)
Fax: (02) 9284 9611
Post
Australian Human Rights Commission
GPO Box 5218
Sydney NSW 2001
Online
Website: www.humanrights.gov.au
ชาว เด็กออส คิดอย่างไรกับบทความนี้คะ? คุณเคยถูกเลือกปฏิบัติมั้ย ไม่ว่าจะเป็นที่ทำงาน หรือในที่สาธารณะ และคุณทำอย่างไร? บอกกล่าวให้กันฟังได้ในคอมเม้นต์ด้านล่างนะคะ ขอบคุณที่อ่าน หากบทความนี้เป็นประโยชน์ กรุณาแชร์ เพื่อสังคมที่ดีขึ้น จักขอบพระคุณมากๆค่ะ
ขอขอบคุณ คุณกวาง Chutima Jackson สำหรับบทความเรื่อง ความเสมอภาคทางเพศ ดีๆนี้ค่ะ
อ่านบทความอื่นๆ ของคุณกวางใน Dekaus
สิทธิมนุษยชนในออสเตรเลีย
กฎหมายครอบครัว
อ้างอิง
- Australian Human Rights Commission. Face the facts: Gender Equality. Available from: https://www.humanrights.gov.au/educ…
- สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ. พันธกรณีระหว่างประเทศ. Available from: http://www.nhrc.or.th/Human-Rights-Knowledge/International-Human-Rights-Affairs/International-Law-of-human-rights.aspx